วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปัญญาญาณ

ปัญญาญาณ




๑ . ทางวิปัสสนา คือ การเห็นตามความเป็นจริง

ได้แก่ ทุกสรรพสิ่ง ล้วนไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้ถาวร ทุกสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนตลอดเวลา เกิดเพราะเหตุ ดับไปก็เพราะเหตุ

เมื่อรู้ได้ดังนี้ จิตที่ยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตน ย่อมลดน้อยลงไป อุปทานการให้ค่าต่อสภาวะที่เกิดขึ้นจากกิเลสที่มีอยู่ในจิตนั้นย่อมลดน้อยหรือเบาบางลงไป รู้เท่าทันต่อการปรุงแต่งของจิตมากขึ้น อยู่กับปัจจุบันได้ทันมากขึ้น

 สภาวะนี้วิปัสสนาจะนำหน้าสมถะ คือ พื้นฐานด้านสมาธิอาจจะน้อย หรือมีมากแต่ยังไม่รู้จักวิธีที่จะนำออกมาใช้ แต่ก็ต้องมีการปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์



๒. ทางวิปัสสนาญาณ คือ การเห็นแจ้งตามความเป็นจริง ที่เรียกว่า ปัญญาญาณ


อย่างน้อยต้องเป็นผู้ที่ได้ฌานหรือได้จตุตถฌานที่เป็นสัมมาสมาธิและเป็นไปตามญาณ ๑๖ เมื่อญาณทัสสนะบังเกิด ย่อมเห็นแจ้งโดยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นแต่เหตุและผล ( สัจจานุโลมิกญาณ )
เรียกว่า จะเห็นตัวหนึ่งเด่นชัดก่อน แล้วจึงเห็นตัวที่สองและที่สาม แต่ละสภาวะที่เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน ชั่วเสี้ยวเดียว จึงละ สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉา ศิลลัพพตปรามาสได้ทันที เป็นสมุเฉจประหาณ

มิใช่ค่อยๆละแบบวิปัสสนาแต่อย่างใด แล้วปัจจเวกเกิดอีก ย่อมกลับมาทบทวนกิเลสหรือสภาวะที่หลงเหลืออยู่

สภาวะนี้สมถะนำหน้าวิปัสสนา แล้วสลับไปมา คือ หนักไปทางสมาธิก่อน แล้วมาปรับอินทรีย์ให้สมดุลย์เช่นกัน

สิ่งที่เหมือนๆกันทั้งสองสภาวะนี้คือ การปรับอินทรีย์ ต้องคอยปรับเปลี่ยนตามสภาวะตลอดเวลา เพราะสภาวะจะแปรเปลี่ยนตลอด จึงไม่มีรูปแบบที่ตายตัว แล้วแต่เหตุของแต่ละคนที่กระทำมา อินทรีย์สมดุลย์เมื่อไหร่ ปัญญาย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น ฉะนั้นจึงไปคาดเดาอะไรไม่ได้ สภาวะยากที่จะคาดเดา เพราะกิเลสมีตั้งแต่หยาบๆจนกระทั่งละเอียด


จะรู้เท่าทันกิเลสต่างๆได้ ต้องมีสติ สัมปชัญญะที่ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้จิตสามารถตั้งมั่นได้เนืองๆ ส่วนจะตั้งมั่นได้นานหรือมากน้อยแค่ไหน ก็แล้วแต่เหตุที่ทำมา รวมทั้งเหตุที่กำลังทำขึ้นในปัจจุบันด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น